วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

ฝ้าคืออะไร ป้องกันและแก้ฝ้าอย่างไร? (ตอนที่ 2)

   จากบทความที่แล้ว  ที่เราพูดถึงเรื่อง ฝ้าคืออะไร ป้องกันและแก้ฝ้าอย่างไร(ตอนที่ 1)  วันนี้เราจะพูดถึงเรื่อง ฝ้า ต่อน่ะค่ะ...

การป้องกันฝ้า

   เมื่อทราบถึงสาเหตุการเกิดฝ้าแล้ว เราควรหลีกเลี่ยง สิ่งที่จะก่อให้เกิดฝ้าดังนี้
ควรหลีกเลี่ยงจากแสงแดด ความร้อน โดยใช้สิ่งกำบังหรือป้องกัน เช่น ร่ม หมวก ผ้า คลุมหน้า เป็นต้น...
   กรณีสงสัยว่ายาคุมกำเนิดที่รับประทานอยู่เป็นสาเหตุที่ ทำให้เกิดฝ้า จากบทความที่แล้วควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร

*ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ ผ่องใส ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ไม่เครียดหรือ วิตกกังวล เพราะอาจเกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนได้...

*ควรทดสอบเครื่องสำอางก่อนใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดอาการแพ้ เมื่อใช้ เครื่องสำอางนั้นสำหรับการรักษาฝ้า ถ้ามีฝ้าขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากถูกแสงแดด ควรระวังและหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแสงแดดซ้ำอีก จะช่วยให้ฝ้าจางหายไปได้...

*ในกรณีที่เป็นมาก ไม่ควร ใช้ยาหรือเครื่องสำอางด้วยตนเอง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ถ้าเป็นไม่มาก อาจใช้เครื่องสำอางสำ หรับฝ้าได้ แต่จะ ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และต้องใช้ให้ถูกวิธี...

 ครีมแก้ฝ้า


วิธีการรักษาฝ้า        

   การรักษาฝ้าด้วยยาทา มักได้ผลดีในฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก ในฝ้าตื้นอาจเห็นผลจากยาทาใน 2 เดือน โดยสีของฝ้านั้นจะจางลง ถ้าผู้ป่วยมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน จะเห็นผลชัดเจนขึ้น ส่วนฝ้าลึกนั้น รักษาค่อนข้างยากด้วยยาทาเพียงลำพัง ยาทารักษาฝ้านั้นมีดังต่อไปนี้...

+  ยากลุ่มไฮโดรควินโนน (Hydroquinone) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาฝ้าเป็นหลัก โดยยาชนิดนี้จะเป็นตัวลดการสร้างเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง โดยไปยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยในการสร้างเม็ดสี (Tyrosinase) นอกจากนี้ ยังสามารถทำลายเม็ดสีบางส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้อีกด้วย

+ ยาทากลุ่มกรด วิตามิน เอ (Retinoic acid) มีรายงานว่าการใช้ยากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ขึ้นไป สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ดีเช่นกัน เนื่องจากยากลุ่มนี้สามารถก่อให้เกิดการระคายเคือง...
    จึงควรเริ่มด้วยการใช้ยาในปริมาณน้อยๆ หรือทาบางๆ และควรทาในขณะที่หน้าแห้งสนิท เนื่องจากการทายาในขณะที่หน้าเปียก หรือชื้นอยู่นั้น อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวแห้งมากขึ้น และก่อให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้นด้วย

+ ยากลุ่มทรานีซามิก (Tranexamic acid) ซึ่งมีทั้งแบบรับประทาน และยาทา เป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี โดยออกฤทธิ์ผ่านกลไกลดการอักเสบใต้ผิวหนัง ทำให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลง ฝ้าจึงจางลดลง

+ ครีมทาผิวผสมกรดผลไม้ เช่นกรดไกลโคลิก (Glycolic acid) หรือ กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) โดยมักมีส่วนผสมของกรดในปริมาณต่ำ จึงก่อการระคายเคืองต่อผิวต่ำ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ถ้ามีผื่นแดง แสบ หรือ เกิดการระคายเคืองต่อผิว ควรหยุดใช้ทันที

+ ครีมทาผิวขาว (Whitening) ยาทากลุ่ม อะเซเลอิก (Azelaic acid) ในแง่ของการลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนังนั้น สามารถเทียบเท่ากับยา ไฮโดรควิโนน 2% แต่ข้อควรระวัง คือ ยาชนิดนี้สามารถก่อ ให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้...

   จึงควรระมัดระวังการใช้ หรือ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ ส่วนการทำงานของยากลุ่มนี้ คือ ไปยับยั้ง เอนไซม์ ชื่อ Tyrosinase จึงส่งผลให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลงเช่นกัน

+ ครีมทาผิวขาวอื่นๆ (Other Whitening) เช่น อัลฟ่าอาบูติน (Alpha arbutin)  ซึ่งสกัดจากธรรมชาติโดยตรง เป็นหนึ่งในกลุ่มครีมทาแก้ฝ้า รักษากระ และยังมีผลทำให้ผิวขาวซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน...

   วิตามินซี ลิโคริช (Licorice, พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง) สารสกัดจากถั่วเหลือง (Soybean extract) หรือ สารสกัดจากธรรมชาติอื่น ๆ   เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้ เกิดการระคายเคืองต่ำ และได้ผลค่อนข้างดีในการทำให้ผิวขาวใสขึ้น

 ครีมอัลฟ่าอาบูติน

การรักษาฝ้าด้วยวิธีอื่นๆ

# การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) ต้องทำด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะสามารถก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้จากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไป

# การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองค่อนข้างสูง และหลังทำต้องมีการระมัด ระวังการสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าปกติ จึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมไม่มากนักในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนและมีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดสูง

# การใช้เลเซอร์/แสง (Laser/Light Therapy) เป็นเทคโน โลยีที่ในปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ความก้าวหน้าทางเทค โนโลยีด้านเลเซอร์นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว             ประโยชน์ที่จะได้จากการรักษาด้วยเลเซอร์/แสง คือ ฝ้าจะจางลงเร็วว่าการทายาเพียงลำพัง และช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาทาบางชนิดเป็นเวลานานๆ


ข้อมูลจาก : www.freshymore.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น