วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

ครีมอัลฟ่าอาบูติน(Alpha arbutin)ช่วยแก้ฝ้า ทำให้ผิวหน้าขาวได้อย่างไร ?

   ปัจจุบันในวงการผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความสวยความงาม เราจะได้ยินคำว่า อัลฟ่าอาบูติน( Alpha arbutin)บ่อยมาก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่ง อัลฟ่าอาบูติน(Alpha arbutin) เป็นส่วนผสมสำคัญ ในเครื่องสำอางค์ที่ช่วยแก้ฝ้า ปรับผิวหน้า ให้มีความขาว กระจ่างใสยิ่งขึ้น...หลายคนอาจสงสัยว่า แท้จริงแล้วมันคืออะไร และทำให้ผิวขาวได้อย่างไร...


 ครีมอาบูติน


อาบูติน (Arbutin) คือ  ?

    สารสกัดจากธรรมชาติ 100% ซึ่งสกัดมาจาก ใบ,เปลือก,ผล และส่วนต่างๆของพืชหลายชนิด เช่น
แบเบอร์รี่ (Bearberry)บลูเบอร์รี่(Blueberry)แคนเบอร์รี่(Cranberry)มัลเบอร์รี่(Mulberry)ลูก
แพร์(Pear) และผลไม้สดชนิดต่างๆ ซึ่งพืชเหล่านี้ส่วนใหญ่พบในประเทศในเขตเมืองหนาว เช่น ยุโรป
อเมริกาตอนเหนือ หรือแคนนาดา เป็นต้น...


 ครีมอาบูติน

อาบูติน (Arbutin) แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ ?

     + เบต้าอาบูติน (Beta arbutin)
     + อัลฟ่าอาบูติน (Alpha arbutin)
     + ดีอ็อกซี่อาบูติน(Deoxy arbutin

อาบูติน (Arbutin) ตัวไหนทำงานดีกว่ากัน ?
     จากการทดลองพบว่า อัลฟ่าอาบูติน (Alpha arbutin)ให้ผลในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ดีกว่า
หน้าเราก็จะสร้างเม็ดสีน้อยลง ฝ้า กระ จุดด่างดำที่เคยมีก็จะจางลงอย่างรวดเร็ว และทำให้ผิวขาวสว่างใสขึ้นสามารถทำให้สีผิวที่หมองคล้ำ จางลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ อาบูติน (Arbutin) ตัวอื่น...


อัลฟ่าอาบูติน (Alpha arbutin) ทำให้ผิวขาวได้อย่างไร ?

     อัลฟ่าอาบูติน (Alphaarbutin) มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี หรือเราเรียกกันว่า เมลานิน
(Melanin) ที่เซลล์ผิวหนังได้ดี สามารถปรับสีผิวให้ขาวสดใสได้ในเวลาอันรวดเร็ว  ช่วยแก้ฝ้า กระ และรอย
หมองคล้ำ จุดด่างดำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกระบวนการที่ได้ผล ในเรื่องของการช่วย
ให้ผิวกระจ่างใส ขาวเนียนยิ่งขึ้น...
   ...และที่สำคัญ อัลฟ่าอาบูติน (Alpha arbutin) นั้นไม่ส่งผลกระทบในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวแต่
อย่างใด จึงไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ผิวของคุณบางลงเหมือนกรดผลไม้ หรือกรดวิตามินเอ

อัลฟ่าอาบูติน (Alpha arbutin) มีข้อดีอย่างไร ?

    + เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียง
    + ไม่ทำให้ผิวบางลอก เป็นขุย เพราะมันไปยับยั้งในเซลล์โดยตรงไม่ได้ทำการพลัดเซลล์ผิวใหม่
    + สามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม
    + ช่วยแก้ฝ้า แก้กระ และรอยหมองคล้ำ รอยด่างดำ ทำให้ ผิวขาว กระจ่างใส เพราะมันมีกลไกในการ ทำงานที่พุ่งตรงไปที่การยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวของเรา ทำให้ผิวเราขาวได้ในเวลาอันรวดเร็ว...

 ครีมอาบูติน

ข้อมูลจาก : www.freshymore.com

วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

ฝ้าคืออะไร ป้องกันและแก้ฝ้าอย่างไร? (ตอนที่ 2)

   จากบทความที่แล้ว  ที่เราพูดถึงเรื่อง ฝ้าคืออะไร ป้องกันและแก้ฝ้าอย่างไร(ตอนที่ 1)  วันนี้เราจะพูดถึงเรื่อง ฝ้า ต่อน่ะค่ะ...

การป้องกันฝ้า

   เมื่อทราบถึงสาเหตุการเกิดฝ้าแล้ว เราควรหลีกเลี่ยง สิ่งที่จะก่อให้เกิดฝ้าดังนี้
ควรหลีกเลี่ยงจากแสงแดด ความร้อน โดยใช้สิ่งกำบังหรือป้องกัน เช่น ร่ม หมวก ผ้า คลุมหน้า เป็นต้น...
   กรณีสงสัยว่ายาคุมกำเนิดที่รับประทานอยู่เป็นสาเหตุที่ ทำให้เกิดฝ้า จากบทความที่แล้วควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร

*ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ ผ่องใส ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ไม่เครียดหรือ วิตกกังวล เพราะอาจเกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนได้...

*ควรทดสอบเครื่องสำอางก่อนใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดอาการแพ้ เมื่อใช้ เครื่องสำอางนั้นสำหรับการรักษาฝ้า ถ้ามีฝ้าขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากถูกแสงแดด ควรระวังและหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแสงแดดซ้ำอีก จะช่วยให้ฝ้าจางหายไปได้...

*ในกรณีที่เป็นมาก ไม่ควร ใช้ยาหรือเครื่องสำอางด้วยตนเอง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ถ้าเป็นไม่มาก อาจใช้เครื่องสำอางสำ หรับฝ้าได้ แต่จะ ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และต้องใช้ให้ถูกวิธี...

 ครีมแก้ฝ้า


วิธีการรักษาฝ้า        

   การรักษาฝ้าด้วยยาทา มักได้ผลดีในฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก ในฝ้าตื้นอาจเห็นผลจากยาทาใน 2 เดือน โดยสีของฝ้านั้นจะจางลง ถ้าผู้ป่วยมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน จะเห็นผลชัดเจนขึ้น ส่วนฝ้าลึกนั้น รักษาค่อนข้างยากด้วยยาทาเพียงลำพัง ยาทารักษาฝ้านั้นมีดังต่อไปนี้...

+  ยากลุ่มไฮโดรควินโนน (Hydroquinone) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาฝ้าเป็นหลัก โดยยาชนิดนี้จะเป็นตัวลดการสร้างเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง โดยไปยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยในการสร้างเม็ดสี (Tyrosinase) นอกจากนี้ ยังสามารถทำลายเม็ดสีบางส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้อีกด้วย

+ ยาทากลุ่มกรด วิตามิน เอ (Retinoic acid) มีรายงานว่าการใช้ยากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ขึ้นไป สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ดีเช่นกัน เนื่องจากยากลุ่มนี้สามารถก่อให้เกิดการระคายเคือง...
    จึงควรเริ่มด้วยการใช้ยาในปริมาณน้อยๆ หรือทาบางๆ และควรทาในขณะที่หน้าแห้งสนิท เนื่องจากการทายาในขณะที่หน้าเปียก หรือชื้นอยู่นั้น อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวแห้งมากขึ้น และก่อให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้นด้วย

+ ยากลุ่มทรานีซามิก (Tranexamic acid) ซึ่งมีทั้งแบบรับประทาน และยาทา เป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี โดยออกฤทธิ์ผ่านกลไกลดการอักเสบใต้ผิวหนัง ทำให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลง ฝ้าจึงจางลดลง

+ ครีมทาผิวผสมกรดผลไม้ เช่นกรดไกลโคลิก (Glycolic acid) หรือ กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) โดยมักมีส่วนผสมของกรดในปริมาณต่ำ จึงก่อการระคายเคืองต่อผิวต่ำ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ถ้ามีผื่นแดง แสบ หรือ เกิดการระคายเคืองต่อผิว ควรหยุดใช้ทันที

+ ครีมทาผิวขาว (Whitening) ยาทากลุ่ม อะเซเลอิก (Azelaic acid) ในแง่ของการลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนังนั้น สามารถเทียบเท่ากับยา ไฮโดรควิโนน 2% แต่ข้อควรระวัง คือ ยาชนิดนี้สามารถก่อ ให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้...

   จึงควรระมัดระวังการใช้ หรือ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ ส่วนการทำงานของยากลุ่มนี้ คือ ไปยับยั้ง เอนไซม์ ชื่อ Tyrosinase จึงส่งผลให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลงเช่นกัน

+ ครีมทาผิวขาวอื่นๆ (Other Whitening) เช่น อัลฟ่าอาบูติน (Alpha arbutin)  ซึ่งสกัดจากธรรมชาติโดยตรง เป็นหนึ่งในกลุ่มครีมทาแก้ฝ้า รักษากระ และยังมีผลทำให้ผิวขาวซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน...

   วิตามินซี ลิโคริช (Licorice, พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง) สารสกัดจากถั่วเหลือง (Soybean extract) หรือ สารสกัดจากธรรมชาติอื่น ๆ   เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้ เกิดการระคายเคืองต่ำ และได้ผลค่อนข้างดีในการทำให้ผิวขาวใสขึ้น

 ครีมอัลฟ่าอาบูติน

การรักษาฝ้าด้วยวิธีอื่นๆ

# การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) ต้องทำด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะสามารถก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้จากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไป

# การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองค่อนข้างสูง และหลังทำต้องมีการระมัด ระวังการสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าปกติ จึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมไม่มากนักในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนและมีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดสูง

# การใช้เลเซอร์/แสง (Laser/Light Therapy) เป็นเทคโน โลยีที่ในปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ความก้าวหน้าทางเทค โนโลยีด้านเลเซอร์นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว             ประโยชน์ที่จะได้จากการรักษาด้วยเลเซอร์/แสง คือ ฝ้าจะจางลงเร็วว่าการทายาเพียงลำพัง และช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาทาบางชนิดเป็นเวลานานๆ


ข้อมูลจาก : www.freshymore.com

วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560

ฝ้าคืออะไร ป้องกันและแก้ฝ้าอย่างไร? (ตอนที่ 1)

 ครีมแก้ฝ้า

ฝ้าคืออะไร

   ฝ้าคือ รอยผิวหนังสีน้ำตาลหรือสีดำ พบตามบริเวณที่ผิวหนังโดนแสงแดด โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เมื่อเป็นแล้วทุกคนก็อยากหา วิธีแก้ฝ้าให้หาย...ฝ้าไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด...แต่มักจะค่อยๆ เป็นมากขึ้น แผ่นสีดำนี้มักมีลักษณะเท่าๆ กันทั้ง 2 ข้าง อาจรวมกันเป็นปื้น หรือเข้มเป็นกระจุกๆ ก็ได้ พบมากในผู้หญิงถึง 90% โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปี...

 ครีมแก้ฝ้า

สาเหตุของฝ้า คือ
   ฝ้าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง ปัจจัยเหล่านี้อาจได้แก่

*แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้า หรือ ทำให้เป็นฝ้าได้มากขึ้น แสงอุลตราไวโอเลต จะมีมากในช่วงเวลา 10.00-14.00 น. แสงแดดในช่วงนี้มีผลทำให้ ผิวหนังเกิดการไหม้เกรียม และเกิดฝ้าได้

* ฮอร์โมน ด้วยอิทธิพลของ ฮอร์โมน จะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย เช่น การตั้งครรภ์, วัยหมดประจำเดือน...หรือได้รับ ฮอร์โมน จากภายนอกร่างกาย เช่น รับประทานยาคุมกำเนิด จึงมักพบผู้ที่เป็นฝ้าขณะตั้งครรภ์ หรือ รับประทานยาคุมกำเนิดได้บ่อย

* ยา พบว่าผู้ที่รับประทานยากันชักบางชนิด มักเกิดผื่นดำคล้ายรอยฝ้าที่บริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า

* เครื่องสำอาง การแพ้ส่วนผสมในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำแบบฝ้าได้ ส่วนผสมเหล่านี้อาจเป็นพวกสารให้กลิ่นหอม หรือ สี

* พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีรายงานว่าเป็นในครอบครัวได้ถึง ร้อยละ30-50


* ภาวะทุพโภชนาการ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบผื่นแบบฝ้า ในผู้ที่มีหน้าที่การทำงานของตับผิดปกติ และ ผู้ที่ขาดวิตามินบี12

 ครีมแก้ฝ้า


ฝ้ามีกี่ประเภท

    1. ฝ้าแบบตื้น จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) ฝ้าชนิดนี้จะเป็นสีน้ำตาล ขอบชัด เกิดขึ้นได้ง่าย และสามารถรักษาให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นาน

    2. ฝ้าแบบลึก จะอยู่ในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า ความลึกของมันจะทำให้เกิดการแสดงสีออกมาเป็นสีน้ำตาลอมฟ้าหรือสีน้ำตาลอมม่วง เป็นฝ้าที่รักษาได้ยาก การทายามักให้ผลเพียงแค่ทำให้ดูจางลงเท่านั้น

               บทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องฝ้า เพียงเท่านี้ ติดตามอ่านได้ในบทความต่อไปเรื่อง ฝ้าคืออะไร ป้องกันและแก้ฝ้าอย่างไร? (ตอนที่ 2) นะค่ะ

ข้อมูลจาก :www.freshymore.com