จากบทความที่แล้ว ที่เราพูดถึงเรื่อง ฝ้าคืออะไร ป้องกันและแก้ฝ้าอย่างไร? (ตอนที่ 1) วันนี้เราจะพูดถึงเรื่อง ฝ้า ต่อน่ะค่ะ...
การป้องกันฝ้า
เมื่อทราบถึงสาเหตุการเกิดฝ้าแล้ว
เราควรหลีกเลี่ยง สิ่งที่จะก่อให้เกิดฝ้าดังนี้
ควรหลีกเลี่ยงจากแสงแดด ความร้อน
โดยใช้สิ่งกำบังหรือป้องกัน เช่น ร่ม หมวก ผ้า คลุมหน้า เป็นต้น...
กรณีสงสัยว่ายาคุมกำเนิดที่รับประทานอยู่เป็นสาเหตุที่ ทำให้เกิดฝ้า จากบทความที่แล้วควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร
กรณีสงสัยว่ายาคุมกำเนิดที่รับประทานอยู่เป็นสาเหตุที่ ทำให้เกิดฝ้า จากบทความที่แล้วควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร
*ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ ผ่องใส ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ไม่เครียดหรือ วิตกกังวล
เพราะอาจเกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมนได้...
*ควรทดสอบเครื่องสำอางก่อนใช้
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดอาการแพ้ เมื่อใช้ เครื่องสำอางนั้นสำหรับการรักษาฝ้า
ถ้ามีฝ้าขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากถูกแสงแดด
ควรระวังและหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแสงแดดซ้ำอีก จะช่วยให้ฝ้าจางหายไปได้...
*ในกรณีที่เป็นมาก ไม่ควร ใช้ยาหรือเครื่องสำอางด้วยตนเอง
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ถ้าเป็นไม่มาก อาจใช้เครื่องสำอางสำ หรับฝ้าได้
แต่จะ ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และต้องใช้ให้ถูกวิธี...
วิธีการรักษาฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยยาทา มักได้ผลดีในฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก ในฝ้าตื้นอาจเห็นผลจากยาทาใน 2
เดือน โดยสีของฝ้านั้นจะจางลง
ถ้าผู้ป่วยมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน
จะเห็นผลชัดเจนขึ้น ส่วนฝ้าลึกนั้น
รักษาค่อนข้างยากด้วยยาทาเพียงลำพัง ยาทารักษาฝ้านั้นมีดังต่อไปนี้...
+ ยากลุ่มไฮโดรควินโนน (Hydroquinone) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาฝ้าเป็นหลัก
โดยยาชนิดนี้จะเป็นตัวลดการสร้างเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง โดยไปยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยในการสร้างเม็ดสี (Tyrosinase) นอกจากนี้
ยังสามารถทำลายเม็ดสีบางส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้อีกด้วย
+ ยาทากลุ่มกรด วิตามิน เอ (Retinoic acid) มีรายงานว่าการใช้ยากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ขึ้นไป สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ดีเช่นกัน
เนื่องจากยากลุ่มนี้สามารถก่อให้เกิดการระคายเคือง...
จึงควรเริ่มด้วยการใช้ยาในปริมาณน้อยๆ
หรือทาบางๆ และควรทาในขณะที่หน้าแห้งสนิท เนื่องจากการทายาในขณะที่หน้าเปียก
หรือชื้นอยู่นั้น อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวแห้งมากขึ้น
และก่อให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้นด้วย
+ ยากลุ่มทรานีซามิก (Tranexamic acid) ซึ่งมีทั้งแบบรับประทาน และยาทา
เป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี โดยออกฤทธิ์ผ่านกลไกลดการอักเสบใต้ผิวหนัง ทำให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลง ฝ้าจึงจางลดลง
+ ครีมทาผิวผสมกรดผลไม้
เช่นกรดไกลโคลิก (Glycolic acid) หรือ กรดซาลิไซลิก (Salicylic
acid) โดยมักมีส่วนผสมของกรดในปริมาณต่ำ
จึงก่อการระคายเคืองต่อผิวต่ำ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ถ้ามีผื่นแดง แสบ หรือ
เกิดการระคายเคืองต่อผิว ควรหยุดใช้ทันที
+ ครีมทาผิวขาว (Whitening) ยาทากลุ่ม อะเซเลอิก (Azelaic acid) ในแง่ของการลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนังนั้น
สามารถเทียบเท่ากับยา ไฮโดรควิโนน 2% แต่ข้อควรระวัง คือ ยาชนิดนี้สามารถก่อ ให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้...
จึงควรระมัดระวังการใช้ หรือ
ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ ส่วนการทำงานของยากลุ่มนี้ คือ ไปยับยั้ง เอนไซม์ ชื่อ Tyrosinase
จึงส่งผลให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลงเช่นกัน
+ ครีมทาผิวขาวอื่นๆ
(Other
Whitening) เช่น อัลฟ่าอาบูติน (Alpha arbutin)
ซึ่งสกัดจากธรรมชาติโดยตรง เป็นหนึ่งในกลุ่มครีมทาแก้ฝ้า รักษากระ
และยังมีผลทำให้ผิวขาวซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน...
วิตามินซี ลิโคริช (Licorice, พืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง)
สารสกัดจากถั่วเหลือง (Soybean extract) หรือ
สารสกัดจากธรรมชาติอื่น ๆ เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้
เกิดการระคายเคืองต่ำ และได้ผลค่อนข้างดีในการทำให้ผิวขาวใสขึ้น
# การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) ต้องทำด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะสามารถก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้จากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไป
# การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองค่อนข้างสูง และหลังทำต้องมีการระมัด ระวังการสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าปกติ จึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมไม่มากนักในการรักษาฝ้า โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนและมีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดสูง
# การใช้เลเซอร์/แสง (Laser/Light Therapy) เป็นเทคโน โลยีที่ในปัจจุบันนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ความก้าวหน้าทางเทค โนโลยีด้านเลเซอร์นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ประโยชน์ที่จะได้จากการรักษาด้วยเลเซอร์/แสง คือ ฝ้าจะจางลงเร็วว่าการทายาเพียงลำพัง
และช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาทาบางชนิดเป็นเวลานานๆ
ข้อมูลจาก : www.freshymore.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น